ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia speciosa
Hassk.
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ชื่อสามัญ :
– Bitter bean
– Twisted cluster bean
– Stink bean
• ชื่อท้องถิ่น :
– สะตอ (ภาคกลาง และภาคใต้)
– ปะตา, ปัตเต๊าะ
(จังหวัดชายแดนภาคใต้)
– ปาไต (สตูล)
– ตอ (ระนอง)
ถิ่นกำเนิด : ภาคใต้ของไทย พม่าตอนล่าง มาเลเชีย
และอินโดนีเชีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น สะตอเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่
มีลำต้นสูงได้มากถึง 30 เมตร
โคนต้นเป็นพูพอน รูปทรงลำต้นเพราตรง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล
ผิวเปลือกแตกสะเก็ดขนาดเล็กหรือเป็นร่องตื้นๆขนาดเล็ก
ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างน้อยจึงแลดูเป็นทรงพุ่มโปร่ง กิ่งแตกมากบริเวณเรือนยอด
ใบ ใบสะตอเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น คือ
มีก้านใบหลักยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร
ที่ประกอบด้วยก้านใบย่อย 14-24 คู่
แต่ละก้านใบย่อยยาวประมาณ 2.2-6 เซนติเมตร
มีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน 30-38 คู่
ใบย่อยมีลักษณะเป็นขอบขนาน สีเขียวสดถึงเขียวเข้มตามอายุใบ แผ่นใบเรียบ ปลายใบมน
มีติ่งเล็กตรงกลางของปลายใบ
ดอก ดอกสะตอออกดอกเป็นช่อ ยาว 30-50 เซนติเมตร ขนาดช่อ 0.5-1 เซนติเมตร ส่วนดอกจะยาว 5-7 เซนติเมตร ขนาดดอก 2-4 เซนติเมตร
ดอกประกอบด้วยกลีบดอกที่มีลักษณะเป็นหลอดเรียงติดกันในแนวตั้ง
โคนดอกเป็นเกสรตัวผู้ ส่วนถัดมาเป็นเกสรชนิดสมบูรณ์เพศ ดอกจะเริ่มออกประมาณเดือนเมษายน
และอีกประมาณ 70 วัน
ก็สามารถเก็บฝักได้ และจะให้ฝักต่อเนื่องจนถึงอายุ 15-20
ปี
ผล และเมล็ด ผลสะตอมักเรียกว่า
ฝัก ที่มีลักษณะแบน มีทั้งชนิดที่เป็นฝักบิดเป็นเกลียว และชนิดที่แบนตรง
ฝักยาวประมาณ 25-45 เซนติเมตร
กว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร
เปลือกฝักอ่อนมีสีเขียว และค่อยเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่
ตรงกลางฝักเป็นที่อยู่ของเมล็ดที่เรียงซ้อนกันเป็นตุ่มนูน
เมล็ดมีลักษณะคล้ายหัวแม่มือ หรือรูปรีค่อนข้างกลม ขนาดเมล็ดทั่วไป กว้างประมาณ 2.2-2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร เมล็ดอ่อนมีสีเขียว ให้รสหวานมัน
และมีกลิ่นฉุน และเมื่อแก่จะเริ่มเหลือง และดำในที่สุด ทั้งนี้
สะตอจะให้ฝักมากในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
พันธุ์สะตอที่นิยมรับประทานมี
2 พันธุ์ คือ สะตอข้าว และสะตอดาน แต่แบ่งได้ 3 พันธุ์ คือ
1. สะตอข้าว (Figure 1A) สะตอข้าวมีลักษณะเด่น คือ
ฝักบิดเป็นเกลียว อาจเป็นฝักสั้นหรือยาว ความยาวฝักประมาณ 30-35 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร
แต่ละช่อมีฝักประมาณ 5-20 ฝัก
แต่ละฝักมีจำนวนเมล็ด 10-20 เมล็ด/ฝัก
เนื้อ เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนมาก เนื้อกรอบ ไม่แข็ง ให้รสหวานมัน หลังจากปลูก 3-5 ปี จึงเริ่มติดฝัก
2. สะตอดาน (Figure 1B) สะตอดานมีลักษณะเด่น คือ
ฝักจะค่อนข้างแบน และตรง ไม่บิดเป็นเกลียวเหมือนสะตอข้าว ฝักยาวประมาณ 30-35 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3.8-4.2 เซนติเมตร
แต่ละช่อมีฝักประมาณ 5-15 ฝัก
จำนวนเมล็ดต่อฝัก 10-20 เมล็ด
เนื้อเมล็ดมีกลิ่นค่อนข้างฉุน และฉุนมากกว่าสะตอข้าว รวมถึงเนื้อเมล็ดมีรสเผ็ด
เนื้อค่อนข้างแน่นแน่นมากกว่าสะตอข้าว หลังปลูกแล้ว 5-7 ปี จึงเริ่มติดฝัก
3. สะตอแตหรือสะตอป่า สะตอแตหรือสะตอป่า
เป็นสะตอที่พบได้ในป่าลึก ไม่ค่อยพบตามสวนหรือตามบ้านเรือน เพราะไม่นิยมปลูก
แต่เชื่อว่าเป็นพันธุ์สะตอดั้งเดิมของสะตอข้าว และสะตอดาน ฝักมีลักษณะ เล็ก
และสั้น เนื้อเมล็ดค่อนข้างแข็ง เนื้อให้รสไม่อร่อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น