กระดังงาสงขลา
กระดังงาสงขลา ชื่อสามัญ : Ilang.-Ilang.,
Drawf ylang ylang
กระดังงาสงขลา ชื่อวิทยาศาสตร์ : Canangium
fruticosum (Craib) J.Sinclair
กระดังงาสงขลา ชื่อวงศ์ : (ANNONACEAE) เช่นเดียวกับกระดังงาไทย
กระดังงาสงขลา ชื่อวงศ์ : (ANNONACEAE) เช่นเดียวกับกระดังงาไทย
สมุนไพรกระดังงาสงขลา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กระดังงาสาขา
(กรุงเทพฯ), กระดังงางอ
(ยะลา-มลายู), กระดังงาเบา
(ภาคใต้), กระดังงอ (มาเลย์-ยะลา), ดังงา เป็นต้น
ลักษณะของกระดังงาสงขลา :
ต้นกระดังงาสงขลา
มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยที่จังหวัดสงขลา
และมีความแตกต่างกับต้นกระดังงาไทยก็คือ
ต้นกระดังงาไทยนั้นเป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงประมาณ 8-15 เมตร
ส่วนต้นกระดังงาสงขลานั้นจะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงของต้นไม่เกิน 4 เมตร
โดยจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 1-2.5 เมตร บ้างว่าสูงประมาณ 1-4
เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมสีน้ำตาลและมีกลิ่นฉุน เนื้อไม้เปราะ
ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ กิ่งตั้งฉากกับลำต้นปลายย้อยลู่ลง ที่กิ่งมีขนอ่อน
ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมกันมาก
และอีกวิธีคือการตอนกิ่ง แต่ไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากกิ่งเปราะและหักได้ง่าย
โดยต้นกระดังงาสงขลาที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะเจริญเติบโตได้ดีและมีความแข็งแรง
ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าต้นที่เกิดจากการตอน แต่การออกดอกจะช้ากว่าต้นที่ได้จากการตอน
เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ระบายน้ำดี มีความชื้นสูง ต้องการน้ำมาก
แต่ไม่ทนต่อน้ำท่วมขัง ชอบแสงแดดแบบเต็มวัน
หากปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดแบบรำไรจะออกดอกน้อยและไม่แข็งแรง
ใบกระดังงาสงขลา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ
ลักษณะของใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าหรือเบี้ยวเล็กน้อย
ส่วนขอบใบเรียบและเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร
แผ่นใบเป็นสีเขียวบางและอ่อน มีเส้นแขนงของใบประมาณ 8-9 คู่ สามารถมองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน และมีก้านใบยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร
ดอกกระดังงาสงขลา
ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่งตรงข้ามกับใบ ดอกเป็นสีเหลือง
มีกลิ่นหอมแรง ในหนึ่งดอกจะมีกลีบดอกประมาณ 15-24 กลีบ
ในแต่ละกลีบจะมีความกว้างประมาณ 0.5-1.8 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ 5-9
เซนติเมตร เรียงเป็นชั้นหลายชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบมีลักษณะเรียวยาว
บิดเป็นเกลียวและอ่อนนิ่ม ปลายกลีบแหลมและกระดกขึ้น
กลีบชั้นนอกจะยาวและใหญ่กว่ากลีบชั้นในตามลำดับ
ดอกมีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียจำนวนมาก ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว
มีลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายแหลม มีความกว้างประมาณ 6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 1.2
เซนติเมตร ส่วนก้านดอกยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร สามารถออกดอกได้เกือบตลอดทั้งปี
ดอกที่ยังอ่อนหรือที่เป็นสีเขียวอ่อนจะยังไม่มีกลิ่นหอม
ดอกที่มีสีเหลืองถึงจะมีกลิ่นหอม และที่สำคัญช่วงที่มีอุณหภูมิสูง เช่น ตอนกลางวัน
ดอกจะไม่ค่อยส่งกลิ่นหอมเท่ากับช่วงตอนเช้าและเย็น
ผลกระดังงาสงขลา ออกผลเป็นกลุ่ม มีผลย่อยประมาณ 8-10 ผล
ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมรี ปลายผลแหลม ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1.2
เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.5-1.8 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียว
เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ในผลมีเมล็ดอยู่หลายเมล็ด
สรรพคุณของกระดังงาสงขลา
- ตำรายาไทยระบุว่าดอกใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ดอก)
- ช่วยบำรุงร่างกาย (ดอก)
- ช่วยชูกำลัง (ดอก)
- ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย (ดอก)
- ช่วยทำให้เจริญอาหาร (เกสร)
- ดอกใช้เป็นยาบำรุงโลหิต (ดอก)
- ดอกมีรสสุขุมหอม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ (ดอก)
ช่วยบำรุงหัวใจให้สดชื่น ทำให้ใจชุ่มชื่น (ดอก)
- ใช้เป็นยาแก้ไข้ (ดอก) ส่วนเกสรช่วยแก้ไข้จับ
แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ แก้โรค (เกสร)
- ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ (เกสร)
- ช่วยแก้ลมวิงเวียน (ดอก)
- ช่วยแก้อาการจุกเสียด (ดอก)
- เนื้อไม้มีรสขมและเฝื่อน ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
(เนื้อไม้, ต้น, กิ่ง, ก้าน)
- ช่วยแก้ปัสสาวะพิการ (เนื้อไม้, ต้น,
กิ่ง, ก้าน)
- รากมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด (ราก)
- ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระดังงาสงขลา
- มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต
- มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง
- ต้านเชื้อ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านยีสต์
- ช่วยไล่แมลง ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง
ประโยชน์ของกระดังงาสงขลา :
- ดอกสดสามารถนำมาสกัดทำเป็นน้ำมันหอมระเหย
ใช้แก้ลมวิงเวียนได้ (สกัดโดยวิธีการต้มกลั่น (Hydrodistillation) จะได้น้ำมันหอมระเหยร้อนละ 0.90)
- ดอกใช้สกัดทำเป็นน้ำหอมและเครื่องหอม
- เนื้อไม้และใบใช้ทำบุหงา อบร่ำ ใช้ทำน้ำหอม
และน้ำมันหอมระเหย (Essential oil)
- บ้างว่าใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางประเภทครีมหรือโลชัน
จะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ (ไม่ยืนยัน)
- ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำขนม อบขนม อบข้าวแช่
(แต่ไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด)
- แพทย์ตามชนบทใช้บำบัดรักษาโรคได้เช่นเดียวกับกระดังงาไทย
- นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วประเทศ โดยใช้ตามสวน
มุมอาคาร หรือปลูกเป็นกลุ่มแบบ 3 ต้นขึ้นไป เพื่อใช้เป็นฉากหรือบังสายตา
ดอกมีกลิ่นหอมแรงในช่วงเช้าและเย็น สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
การปลูกและการดูแลรักษาทำได้ง่าย ไม่ค่อยมีโรคและแมลงมารบกวน
อีกทั้งยังเป็นพันธุ์ไม้ที่มีราคาไม่แพงและให้ดอกมากอีกชนิดหนึ่ง
จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มปลูกพันธุ์ไม้หอมมือใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น