เทพทาโร
ชื่อพันธุ์ไม้ : เทพธาโร
ชื่อสามัญ : จวง จวงหอม (ภาคใต้) จะไค้ต้น
จะไค้หอม (ภาคเหนือ) ตะไคร้ต้น (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
เทพทาโร (ภาคกลาง จันทบุรี สุราษฎร์ธานี) พลูต้นขาว (เชียงใหม่) มือแดกะมางิง (มาเลเซีย ปัตตานี) (บาลี) เทวทารุ นารท (อังกฤษ) Citronella
laurel, True laurel.
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cinnamomum parthenoxylon(Jaek)meisn
ชื่อพ้องทางวิทยาศาสตร์ : C.
parthenoxylon Meissn. และ C.
glanduliferum Nees
ชื่อวงศ์ : LAURACEAE
การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ
เทพทาโร มีเขตการกระจายพันธุ์แถบเอเชียเขตร้อน
นับตั้งแต่เทือกเขาตะนาวศรีในพม่า ไทย มลายู จนถึงแถบคาบสมุทรอินโดจีนและสุมาตรา
ไม้ชนิดนี้ชอบขึ้นบนพื้นที่สูง มีลักษณะคล้ายกับ C. neesianum
Meissn ซึ่งเป็นไม้ที่พบกระจายพันธุ์อยู่แถบจีนตอนใต้และตังเกี๋ย
ในประเทศไทย
จะพบเทพทาโรขึ้นอยู่ห่าง ๆ กันบนเขาในป่าดงดิบทั่วประเทศ แต่จะพบมากที่สุดทางภาคใต้
เทพทาโรเป็นไม้พื้นเมืองเก่าแก่ของไทย พบหลักฐานการอ้างถึงครั้งแรกในสมัยสุโขทัย
ดังปรากฏในไตรภูมิพระร่วง เมื่อ พ.ศ. 1888
กล่าวถึงพรรณพืชหอมในอุตตรกุรุทวีป จะประกอบด้วย จวง จันทน์ กฤษณา คันธา เป็นต้น
ลักษณะทางวนวัฒนวิทยา
เทพทาโร
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลับทึบ สีเขียวเข้ม
ลำต้นเรียบไม่มีพูพอน เปลือกต้นสีเทาอมเขียวหรืออมน้ำตาล ค่อนข้างเรียบ
แตกเป็นร่องยาวตามลำต้น เมื่อถากเปลือกออกจะมีกลิ่นหอม กิ่งมีลักษณะอ่อนเรียว เกลี้ยงและมักมีคราบขาว
ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน
เป็นใบรูปรีแกมรูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบเกลี้ยง
ท้องใบมีคราบขาว ปลายใบแหลม โคนใบแหลมและกลม ยาวประมาณ 7 - 20 ซม. ก้านใบเรียวเล็ก
2.5 - 3.5 ซม.
ดอก
ออกเป็นช่อ สีขาวหรือเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอม ออกดอกตามปลายกิ่งเป็นกระจุกยาว
2.5 - 7.5 ซม. ก้านช่อดอกจะเรียวยาวและเล็กมาก
ผล มีขนาดเล็กและกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7
มม. ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีม่วงดำ ก้านผลเรียว ยาวประมาณ 3 - 5 ซม. (กรมป่าไม้, 2486)
ลักษณะเนื้อไม้ มีสีเทาแกมน้ำตาล มีกลุ่มหอมฉุน
มีริ้วสีเขียวแกมเหลือง เนื้อไม้เป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรง หรือสับสน
เป็นคลื่นบ้างเล็กน้อย เหนียว แข็งพอประมาณ เลื่อย ไส้กบ ตบแต่งง่าย (กรมป่าไม้, 2486)
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ไม้เทพทาโรที่นิยมปฏิบัติกันคือ
การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ
การปลูก การเจริญเติบโต และการปรับปรุงพันธุ์
ต้นเทพทาโรเป็นไม้หอมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
จึงสมควรที่จะปลูกสร้างสวนป่าไม้เทพทาโรขึ้นในที่ที่มีความชุ่มชื่นเพียงพอ
เพราะเทพทาโรจะชอบขึ้นอยู่บนเขาในป่าดงดิบ พบมากที่สุดทางภาคใต้
อาจจะปลูกใต้ร่มไม้อื่นหรือปลูกเป็นไม้แซมสวนป่า
น่าจะเจริญเติบโตดีกว่าปลูกเป็นไม้เบิกนำในที่โล่งแจ้ง
วนวัฒนวิธีและการจัดการ
เมื่อได้ต้นกล้าของเทพทาโรมาแล้ว
ควรปลูกระยะห่างต้นละ 5 เมตร อาจปลูกแซมสวนป่า หรือปลูกพืชจำพวกกล้วยน้ำว้า
เป็นพืชพี่เลี้ยงแซมลงไปเพื่อให้มีรายได้ในช่วง 2 - 3 ปีแรก
การใส่ปุ๋ยทำเช่นเดียวกับไม้ยืนต้นทั่วไป
การใช้ประโยชน์
ปรากฏหลักฐานการใช้ประโยชน์ของเทพทาโร หรือจวงหอมมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ดังปรากฏในไตรภูมิพระร่วง พ.ศ. 1888 กล่าวถึงการบูชาจักรรัตนะ ผู้คนจะแต่งตัว
ทากระแจะจวงจันทน์น้ำหอม และนำเอา “ข้าวตอกแลดอกไม้
บุปผชาติเทียนแลธูปวาสะชวาลาแลกระแจะจวงจันทน์น้ำมันหอม มาไว้มานบคำรพ วันทนาการบูชาแก่กงจักรแก้วนั้น” หรือในตอนกล่าวถึงแผ่นดิน อุตตรกุรุทวีป
มักจะใช้กระแจจวงจันทน์ตกแต่งศพ ดังความว่า “เขาจิงเอาศพนั้นอาบน้ำแลแต่งแง่
หากกระแจะแลจวงจันทน์ น้ำมันอันหอม แลนุ่งผ้าห่มผ้าให้” หรือตอนพระญาจักรพรรดิราชสวรรคต ก็จะ
“ชโลมด้วยกระแจจวงจันทน์ และจิงเอาผ้าขาวอันเนื้อละเอียดนั้นมาตราสังศพพระญาจักรพรรดิราชนั้น” ตอนกล่าวถึงการบูชาพระญาจักรพรรดิราช
พระนามพระญาศรีธรรมาโศกราช พรรณนาว่า
“นาคราชลางจำพวกเอากระแจะจวงจันทน์คันธรสอันประเสริฐอันดีมาถวายทุกเมื่อ” หรือพระญาศรีธรรมาโศกราชก็จะ
“บูชาพระสงฆ์เจ้าด้วยธูปแลเทียนข้าวตอกดอกไม้แลกระแจะจวงจันทน์ทั้งหลาย”
ตอนพรรณนาดาวดึงส์สวรรค์ของพระอินทร์ กล่าวว่า
“หอมกระแจะจวงจันทน์อีกพรรณดอกไม้อันขจรทุกแห่ง
แต่งพัดเข้าเร้าเถิงพระอินทร์หอมฟุ้งทุกแห่ง
พระอินทร์จิงไปเหล้นที่สวนนั้นสนุกนิ์นัก” และได้กล่าวถึงเทพยดาคือคนธัพพเทวบุตรตกแต่งอาภรณ์ด้วยแก้วแหวนเงินทองและทาตัวด้วยกระแจะแลจวงจันทน์
ดังได้พรรณนาไว้ว่า “อันว่ากระแจะแลจวงจันทน์อันเทพยดาทาตัวนั้น
ถ้าแลว่าจะขูดออกใส่ตุ่มแลไหได้ 9 ตุ่มแล”
ความนิยมในเครื่องหอมกระแจจวงจันทน์ มีสืบเนื่องมาถึงสมัยอยุธยาตอนต้นดังปรากฏในกฎหมายพิสูจน์ดำน้ำลุยเพลิง
พ.ศ. 1899 สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ว่า “น้ำมันกระแจะจวงจันทน์” และมีการกล่าวถึงต่อมาในมหาชาติคำหวง
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเมื่อ พ.ศ. 2025 ดังกล่าวไว้ในกัณฑ์มหาพนว่า
“กรักขีพงเทพทารูก็มี”
ในสมัยอยุธยาตอนกลาง ตำราพระโอสถสมัยพระนารายณ์ พ.ศ. 2202
กล่าวถึงการใช้ประโยชน์ของเทพทาโรในทางยาว่า เป็นยาจำเริญพระธาตุ ดังนี้คือ
“จำเริญพระธาตุ ให้เอาใบรักแห้ง บอระเพ็ดแห้ง แห้วหมู ดอกชรากากี ผลมะตูมอ่อน
รากมะตูม โกฐหัวบัว เทพทาโร สมอเทศ เทียนแดง เชือกเขาพรวน ขิงแห้ง ดีปลี
กระเทียมทอก รากชะพลู เกลือสินเธาว์ เสมอภาค ทำเป็นจุณ บดด้วยน้ำผึ้งรวง น้ำสุรา
ระคนกันเป็นลูกกอน เสวยหนักสลึง 1 แก้พระวาตะ เสมหะ โลหิตกำเริบอันทุพล
แก้พระเส้นอันทพฤก อันกระด้างตึงแต่พระชงฆ์ขึ้นไป ตราบเท่าถึงบั้นพระองค์ให้พระเส้นนั้นอ่อน
ให้เสวยพระกระยาหารเสวยได้ ให้จำเริญพระสกลธาตุเป็นอันยิ่ง
ข้าพระพุทธเจ้าออกขุนทิพจักร ประกอบทูลเกล้าฯ ถวาย”
หนังสือไม้เทศเมืองไทย กล่าวถึงประโยชน์ทางยาของเทพทาโรไว้ว่า ตามชนบทต่าง
ๆ ใช้ปรุงเป็นยาหอมแก้ลม จุกเสียดแน่น แน่นเฟ้อ แก้อาการปวดท้อง ขับผายลมได้ดี
ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ให้เรอ เป็นยาบำรุงธาตุ ในเปลือกมีน้ำมันระเหย 1 ถึง
2% และแทนนิน
นอกจากนั้นยังกล่าวถึงประโยชน์อย่างอื่นของเทพทาโร คือ เนื้อไม้สีขาว
จะมีกลิ่นหอมฉุนเหมือนกลิ่นการบูร อาจกลั่นเอาน้ำมันระเหยออกจากเนื้อไม้นี้ได้
และอาจดัดแปลงทางเคมีให้เป็นการบูรได้ ส่วนใบมีกลิ่นหอม ใช้เป็นเครื่องเทศ
ตามร้านขายสมุนไพรในประเทศไทย จะใช้ใบเทพทาโรแทนใบกระวาน
สำหรับใส่เครื่องแกงสะระหมั่น ส่วนใบกระวานจริง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนใบข่า
จะไม่นิยมใช้กัน หนังสือไม้เทศเมืองไทยยังระบุว่าต้นเทพทาโรมีมากทางภาคเหนือ
ชาวพายัพเรียกว่าปูต้นหรือไม้การบูร แต่อาจมีทางกาญจนบุรีบ้าง (เสงี่ยม, 2519)
ประโยชน์อย่างอื่นของเทพทาโร คือ ไม้ ใช้ในการแกะสลักบางอย่าง ทำเตียงนอน
ทำตู้ และหีบใส่เสื้อผ้าที่กันมอดและแมลงอื่น ๆ ได้
ทำเครื่องเรือนและไม้บุผนังที่สวยงาม ทำแจวพาย กรรเชียง กระเบื้องไม้ เป็นต้น
(กรมป่าไม้, 2486)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น