ตะเคียนทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hopea odorata Roxb.
ชื่อวงค์ : DIPTEROCARPACEAE
ชื่อสามัญ
(ไทย)
กะกี้ โกกี้ (กะเหรียง เชียงใหม่) แคน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จะเคียน (ภาคเหนือ) จูเค้ โซเก (กะเหรียง กาญจนบุรี) ตะเคียน ตะเคียนทอง ตะเคียนใหญ่ (ภาค กลาง) ไพร (ลว้า เชียงใหม่) (อังกฤษ)Iron Wood, Thingan, Sace, Takian.
การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ตะเคียนทองเป็นไม้ที่มีเขตการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเซียแถบประเทศไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย เป็นไม้ในป่าดงดิบขึ้นเป็นหมู่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบ หรือค่อนข้างราบใกล้ฝั่งแม่น้ำ
ตะเคียนทองเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงประมาณ 20 - 40 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ กลมหรือรูปเจดีย์ต่ำ ๆ เปลือกหนาสีน้ำตาลดำ แตกเป็นสะเก็ด กะพื้นสีน้ำตาลอ่อน แก่นสีน้ำตาลแดง
ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยวรูปไข่แกมรูปหอกหรือรูปดาบ ขนาด 3 – 6 x 10 - 15 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา ปลายใบเรียว โคนใบมนป้านและเบี้ยว หลังใบมีตุ่มคอมเมเซียเกลี้ยง ๆ อยู่ตามง่ามแขนงใบ เส้นแขนงใบมี 9 - 13 คู่ ปลายโค้งแต่ไม่จรดกัน
ดอก สีขาว มีขนาดเล็ก ออกเป็นช่อยาวๆ ตามง่ามใบและปลายกิ่ง มีกลิ่นหอม ก้านช่อดอก ก้านดอกและกลีบรองกลีบดอกมีขนนุ่ม กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบโคนกลีบเชื่อมติดกัน
ผล กลมหรือรูปไข่เกลี้ยง ปลายมนเป็นติ่งคล้ายหนามแหลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.6 ซม. ปียาว 1คู่ รูปใบพาย ปลายปีกกว้างค่อยๆ เรียวสอบมาทางโคนปีก เส้นปีกตามยาวมี 7 เส้น ปีกสั้นมีความยาวไม่เกินความยาวตัวผล
ระยะเวลาออกดอก-เป็นผล ดอกออกระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม ดอกจะไม่ออกทุกปี ช่วงดอกออกมากประมาณ 3 - 5 ปี/ครั้ง เป็นผลระว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน
ลักษณะเนื้อไม้ สีเหลืองหม่น หรือสีน้ำตาลอมเหลือง มักมีเส้นขาวหรือเทาขาวผ่านเสมอ ซึ่งเป็นท่อน้ำมันหรือยาง เสี้ยนมักสน เนื้อละเอียดปานกลาง แข็ง เหนียว เด้งตัวได้มาก ทนทาน ทนปลวกได้ดี เลื่อย ไสกบตกแต่งและชักเงาได้ดีมาก ความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.82
(12.6%) เนื้อไม้มี
ความแข็งประมาณ 625 กก. ความแข็งประมาณ 1,172 กก./ตร.ซม. ความดื้อประมาณ 120,000 กก./ตร.ซม. ความเหนียวประมาณ 4.70 กก.-ม. ความทนทานตามธรรมชาติ ตั้งแต่ 3.0 - 10.5 ปี เฉลี่ยประมาณ 7.7 ปี อาบน้ำยาได้ยาก (ชั้นที่4)
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ไม้ตะเคียนทองที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือการขยายพันธุ์โดยการผลิตกล้าจากเมล็ด ส่วนวิธีการอื่นยังไม่มีการนำมาใช้กัน แต่ปัญหาในการผลิตกล้าจากเมล็ดตะเคียนทองคือ เมล็ดไม้ตะเคียนทองเป็นเมล็ดที่สูญเสียความงอกไว (recalcitrant
seed) มีความยุ่งยากในการรักษาเมล็ด สืบเนื่องจากเมล็ดมีความชื้นสูง ซึ่งพร้อมที่จะงอกทันทีเมื่ออยู่ในสภาวะสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม นอกจากนี้ไม้ตะเคียนทองจะให้เมล็ด 2 - 3 ปีต่อครั้งแต่ละครั้งก็ให้เมล็ดไม่มาก เนื่องจากดอกร่วงหล่นเสียก่อนได้รับการผสมเกสร
จากการศึกษาการแก่ การงอก การงอก และการเก็บรักษาเมล็ดไม้ตะเคียนทองของ บัณฑิตคบหมู่ และคณะ (2531) ซึ่งการเก็บเมล็ดใช้วิธีการเก็บจากบนต้น ได้ผลดังนี้ คือ
1. การแก่ของเมล็ดไม้ตะเคียนทองสามารถสังเกตได้จากสีปีกของผล ผลที่เริ่มแก่ปลายปีกสีเขียวและมีสีแดง เมื่อแก่เต็มที่แล้วจะมีสีแดงและปลายสีแดงมีสีน้ำตาล
2. การเปลี่ยนแปลงสีปีกใช้เป็นสิ่งชี้หรือกำหนดระยะเวลาในการเก็บเมล็ด โดยเริ่มทำการเก็บเมล็ดเมื่อปลายปีกสีแดง
3. เมล็ดตะเคียนทองที่แก่แล้วและมีระดับความชื้นประมาณ 60
- 90% ความมีชีวิตมีเปอร์เซ็นต์สูงมาก ถ้าความชื้นต่ำกว่า 35% จะเป็นอันตรายต่อความมีชีวิตอย่างมาก การปฏิบัติต่อเมล็ดหลังจากเก็บจากต้น ถ้ามีความจำเป็นไม่สามารถนำไปเพาะชำได้ทันที่ ควรเก็บไว้ในที่อุณหภูมิประมาณ 20OC และมีความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศสง 90% ขึ้นไป เพื่อไม่ให้เมล็ดสูญเสียความชื้นอย่างรวดเร็ว อันจะทำให้เป็นอันตรายต่อความชีวิตของเมล็ดด้วย
4. เมล็ดตะเคียนทองสามารถงอกได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 20
- 350OC ในสภาวะอุณหภูมิสูงอัตราการงอกจะดีหกว่าในอุณหภูมิต่ำ ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 25 -
30OC จึงทำให้เมล็ดไม่สามารถงอกได้ดีในสภาวะอุณหภูมิตามธรรมชาติ
5. การเก็บเมล็ดไม้ตะเคียนทอง เมล็ดที่กำลังแก่ต้องการทำการเก็บรักษา ควรให้เมล็ดมีความชื้น 60% ขึ้นไป โดยเก็บไว้ในสภาวะอุณหภูมิต่ำประมาณ 20OC ในภาชนะที่ปิดสนิท
การปลูก การเจริญเติบโตและการปรับปรุงพันธุ์
จากธรรมชาติของไม้ตะเคียนทอง มักจะพบขึ้นอยู่ใบป่าดงดิบตามที่ราบหรือค่อนข้างราบใกล้ฝั่งแม่น้ำ
ดังนั้นพื้นที่ที่จะปลูกไม้ตะเคียนทองนั้น สภาพภูมิอากาศที่เหมาะ สม ควรมีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี ดินควรเป็นดินร่วนปนทรายมีความอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี
กล้าไม้ตะเคียนทองที่เหมาะสมในการนำมาปลูก ควรเป็นกล้าที่มีอายุมากกว่า 1 ปี และจะต้องทำให้กล้าไม้แกร่งเสียก่อน โดยการนำกล้าไม้ออกมารับแสงเต็มที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์แล้วย้ายปลูกหลังจากฝนตก ก่อนปลูกควรนไกล้าตะเคียนทองจุ่มน้ำก่อนเพื่อให้รากดูดซับน้ำไว้จนอิ่มตัว วิธีการนี้จะช่วยให้กล้าตะเคียนทองรอดตายสูงในกรณีที่ฝนทิ้งช่วง
เนื่องจากไม้ตะเคียนทองเป็นไม้ที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า ระยะปลูกที่ใช้กันทั่วไปคือ 4x4 เมตร เหมาะสมกับการปลูกร่วมกับไม้โตเร็วตระกูลถั่วอื่นๆ เพื่อให้ไม้โตเร็วเหล่านั้นสามารถดึงก๊าซไนโตรเจน ช่วยให้ไม้ตะเคียนทองเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ธิคิ วิสารัตน์ และคณะ (2534) ได้ศึกษาการปลูกไม้ตะเคียนทองภายใต้เรือนยอดของไม้กระถินยักษ์ที่มีระยะปลูก 2x2,2x3 เมตร และในพื้นที่โล่งพบว่า ในระยะ 6 เดือนแรก เปอร์เซ็นต์การรอดตายของของไม้ตะเคียนทองในแปลงทดลองทุก ๆ แปลงไม่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากยังมีความชื้นเพียงพอ แต่ภายหลังจากปีที่หนึ่งผ่านไปแล้ว การรอดตายจะลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โดยไม้ตะเคียนทองที่ปลูกระหว่างไม้กระถินยักษ์ 2x2 เมตร มีเปอร์เซ็นต์การรอดตายสูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาได้แก่ ไม้ตะเคียนทองที่ปลูกระหว่างไม้กระถินยักษ์ 2x3 เมตร และที่ปลูกในที่โล่งมีเปอร์เซ็นต์การรอดตาย
40 เปอร์เซ็นต์ และ 35 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ แต่หลังจากนั้นการรอดตายได้ลดลงอีกไม่มากหลังจากปลูกไปแล้ว
12-42 เดือน โดยเดือนที่ 42 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
สำหรับการเจริญเติบโตของไม้ตะเคียนทองที่ปลูกระหว่างไม้กระถินยักษ์ตามระยะปลูกดังกล่าวในระยะ 1-3 ปี พบว่า ไม้ตะเคียนทองที่ปลูกในที่โล่ง มีการเจริญเติบโตทางด้านความสูง และเส้นผ่าศูนย์กลางมีแนวโน้มดีกว่าไม้ตะเคียนทองที่ปลูกระหว่างไม้กระถินยักษ์ระยะ 2x2 และ 2x3 เมตร
Thai-ngam (1991) ได้ทำการศึกษาการเจริญเติบโตของไม้ตะเคียนทองภายใต้เรือนยอดของไม้ดรเร็ว 4 ชนิด คือ กระถินณรงค์ ขี้เหล็กบ้าน ยูคาวิปตัส คามาบาดูเลนซีส และแคบ้าน ที่ระยะปลูกต่าง ๆ กัน
2x4,2x8,4x4,4x8 เมตร และในที่โล่ง พบว่า ความสูงของไม้ตะเคียนทองที่ปลูกภายในใต้เรือนยอด 4x8 เมตร ของไม้กระถินณรงค์ ขี้เหล็กบ้าน และยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิลสูงกว่าระยะอื่นๆ โดยมีความสูงเพิ่มขึ้นสูงสุดภายใต้เรือนยอด ไม้ขี้เหล็กบ้าน 4.5 ซม. ส่วนภายใต้เรือนยอดไม้แคบ้าน ความสูงของไม้ตะเคียนทองเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ระยะปลูก 2x8 เมตร โดยเพิ่ม 2.2 ซม. และความเจริญเติบโตทางด้านความโต
(D10) ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับความสูงทั้งทางด้านชนิดไม้และระยะปลูกโดยมีความโตสูงสุดอยู่ที่ภายใต้เรือนยอดของไม้แคบ้านที่ระยะปลูก 2x8 เมตร โดยมีความโตเพิ่มขึ้น 0.09 ซม.
วนวัฒนวิธีและการจักการ
ตะเคียนทองเป็นไม้ที่มีการเจริญเติบโคค่อนข้างช้า ต้องการการดูแลรักษาใน
ระยะแรกเพื่อให้ต้นไม้ตั้งตัวได้ หลังจากนั้นก็ควรมีการใส่ปุ๋ยบ้างเพื่อเร่งการเจริญเติบโต
โดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสฟอรัส นอกจาากนี้เนื่องจากไม้ตะเคียนทองเป็นไม้ที่มีเรือนยอดกว้างและไม่ชิดกันจึงควรทหำการลิดกิ่งสำหรับเรื่องโรคและแมลงนั้นปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่เด่นชัดเกี่ยวกับโรคและแมลงที่ทำลายสวนป่าไม้ตะเคียนทอง ซึ่งอาจจะเนื่องมาาจากการปลูกไม้ตะเคียนทองในพื้นที่ขนาดใหญ่แบบสวนป่ายังมีน้อย แต่อย่างไรก็ตาม ฉวีวรรณ หุตเจริญ (2533) ได้รายงานว่า พบด้วงยีราฟ (giraffe weevil; Apoderus
notatus F.) ซึ่งอยู่ในวงค์
Curculionidae กัดกินใบอ่อนของไม้ตะเคียนทอง วิธีกำจัดด้วงเหล่านี้ทำได้โดยใช้ยาเคมีเซฟวิน หรือ ทามารอน
50% ฉีดพ่นในช่วงที่พบตัวเต็มวัย หรือช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน หรือเก็บใบที่ถูกม้วนเป็นหลอดทำลายหรือเผาทิ้งเสียเพื่อทำลายไขและตัวอ่อน การถางวัชพืชรอบแปลงให้โล่งเตียนจะช่วยทำลายที่อยู่อาศัยของด้วงชนิดนี้ได้การฉีดยาฆ่าหญ้าพบว่า ด้วงยีราฟจะไม่เข้าทำลายต้นไม้อีกเลย
การใช้ประโยชน์
ตะเคียนทอง จัดเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของประเทศไทย
เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน สะพาน หมอนรองรางรถไฟ ตัวถังรถ เรือนต่างๆ
เครื่องเรือน ไม้ชนิดนี้ใช้ประโยชน์ได้ทุกอย่างที่ต้องการความแข็งแรงทนทาน เหนียว
เด้ง ในประเทศไทยนิยมใช้ทำเรือมาด
นอกจากประโยชน์ทางเนื้อไม้แล้ว
ส่วนอื่นๆของไม้ตะเคียนทองยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก คือ
1. เปลือก ให้นำฝาดชนิด Pyrogallol และ Catechol นอกจากนี้ยังใช้ต้มกับเกลืออมป้องกันฟันหลุด เนื่องจากกินยาเข้าปรอท และต้มกับน้ำชะล้างบาดแผลเรื้อรัง
2. แก่น ใช้ผสมกับยารักษาทางเลือดลม กษัย
3. ดอก เข้าอยู่ในจำพวกเกสรร้อยแปด ใช้ผสมยาทิพย์เกสร
4. ยาง ใช้ผสมน้ำมันทารักษาบาดแผล
5. ชัน ใช้ผสมน้ำมันทาไม้ ยาแนวเรือ และทำน้ำมันชักเงา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น