วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ศรีสยาม



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Arenga hookeriana (Becc.) Whitm.
ชื่อวงศ์ : ARECACEAE
ชื่อพ้อง : Didymosperma caudata
ประเภท : ปาล์มแตกกอ
ความสูง : สูงได้ถึง 2 เมตร
ลำต้น : เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เซนติเมตร กอแน่นทึบ
ใบ : มีจำนวนมาก ใบรูปขนนก แต่ไม่แตกเป็นใบย่อย ทางใบยาว 80 เซนติเมตร ปลายใบหยัก
เว้าตื้นคล้ายครีบปลา สีเขียวเข้มเป็นมัน ใต้ใบมีนวลสีขาวเด่นชัด
ช่อดอก : ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ออกระหว่างกาบใบ
ผล : กลม ขนาด 0.8 เซนติเมตร เมื่อสุกสีแดง
ดิน : ดินร่วนอุดมสมบูรณ์
น้ำ : ปานกลาง ความชื้นในอากาศสูง
แสงแดด : รำไร
ขยายพันธุ์ : แยกหน่อหรือเพาะเมล็ด ใช้เวลา 2 – 4 เดือนจึงงอก
การใช้งานและอื่นๆ : เหมาะทั้งปลูกลงแปลงและปลูกลงกระถางได้ตลอดช่วงอายุ ใบและทรงพุ่มมีความสวยงาม จึงเหมาะใช้เป็นไม้สร้างจุดเด่นในสวนป่าเมืองร้อน




หมากเหลือง




ชื่อวงศ์ : ARECACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dypsis lastellina(Baill.) Beentje J.Dransf
ชื่อสามัญ :
Yellow palm
Yellow cane palm
Golden cane palm
Butterfly palm
Madagascar palm
ลักษณะโดยทั่วไป :   หมากเหลืองเป็นปาล์มที่มีหน่อเป็นกอขึ้นรวมกัน กอหนึ่งจะมีประมาณ 6 - 12 ต้น สูงประมาณ 25 - 30 ฟุตลำต้นมีข้อปล้องโค้งออกจากโคนกอ แลดูสวยงามยิ่ง ใบเป็นใบรูปขนนก ทางใบยาว 6 - 8 ฟุต กาบใบจะ ห่อหุ้มลำต้นไว้ หมากเหลืองเป็นปาล์มที่ได้รับความนิยม นำมาตกแต่ง ประดับประดาตามสถานที่เป็นอย่าง มาก เพราะความสวยงามและมีรูปร่างที่ไม่เล็กและก็ไม่ใหญ่จนเกินไป
ประโยชน์หมากเหลือง :
1. หมากเหลืองนิยมปลูกทั้งในแปลงจัดสวน การด้านภูมิทัศน์ และการปลูกในกระถางเพื่อเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีทรงพุ่มสวยงาม ทางใบยาว โค้งย้อยลงดิน แผ่นใบมีสีเหลืองอมเขียวสวยงาม ทั้งนี้ การปลูกในกระถาง ควรวางกระถางในพื้นที่ร่มหรือมีแสงแดดไม่ส่องทั้งวันหรือมีแสงรำไร อาทิ การวางกระถางภายในบ้าน หน้าบ้านที่มีร่ม หรือวางไว้ข้างบ้านที่มีร่มในบางครั้ง เพราะการปลูกในกระถางจะสูญเสียความชื้นได้ง่ายกว่าการปลูกลงแปลง
2. ใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้มงคล โดยมีความเชื่อต่างๆ ได้แก่
– หมากเหลืองช่วยให้ผู้คนเกิดความเคารพ และเชื่อฟังในตน เหมือนก้านใบหมากเหลืองที่โค้งโน้มลง รวมถึงทำให้สมาชิกในบ้านเป็นผู้มีจิตใจดี จิตใจงดงาม มีความถ่อมเนื้อถ่อมตน
– หมากเหลืองมีก้าน และใบสีเหลืองอมเขียวหรือบางต้นมีสีเหลืองทอง ช่วยส่งเสริมให้เกิดความร่ำรวย มีโชคลาภให้แก้ผู้ปลูกหรือสมาชิกภายในบ้าน
3. หมากเหลืองนอกจากจะปลูกเพื่อการประดับแล้ว เกษตรกรบางรายยังปลูกเพื่อตัดก้านใบส่งขาย สร้างรายได้งามเช่นกัน ก้านใบที่จำหน่ายถูกใช้สำหรับจัดตกแต่งในพิธีต่างๆ อาทิ งานมงคล งานเทศกาลชุมชน และงานสำคัญของทางราชการ
4. ก้านหมากเหลืองใช้ถูหรือจิ้มบริเวณฝ่าเท้าเพื่อตรวจหาอาการชาจากภาวะโรคเบาหวาน ลดความเสี่ยงการเกิดแผลจากโรคเบาหวาน มีวิธีการใช้ คือ นำก้านหมากเหลืองมาผ่าเปลือกนอกออก ให้เหลือเฉพาะแก่นอ่อนด้านใน จากนั้น เหลาให้ส่วนปลายเรียวเล็ก และปลายสุดเหลาให้มน ก่อนใช้จิ้มบนฝ่าเท้าตรวจหาอาการชา 





หมากแดง



ชื่อวิทยาศาสตร์: Cyrtostachys renda Blume
ชื่อสามัญ: Sealing wax palm, lipstick palm, Raja palm, Maharajah Palm
วงศ์: ARECACEAE 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
      ไม้พุ่ม ขนาดกลางถึงใหญ่  ปาล์มแตกกอ ลำต้นตั้งตรงขนาด 10-15 ซม. มีคอยาว 30-50 ซม.  มีข้อปล้องเห็นได้ชัด
     ใบ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ใบย่อยรูปแถบ มีประมาณ 25 คู่ สีเขียวเป็นมัน ทางใบยาว 1.5-2.0 ม. ปลายใบแหลม มีสีแดงเข้มที่กาบใบ ก้านใบและเส้นกลางใบ
     ดอก ดอกช่อออกที่ใต้โคนกาบใบห้อยโค้งลง ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน
     ผล ผลกลมถึงรี ขนาด 0.8 ซม. ผลสุกสีดำ โคนผลสีแดง ติดผลจำนวนมาก ผลละ 1 เมล็ด
ประโยชน์:         ใบมีสรรพคุณแก้ร้อนใน




จันผา


ชื่อพื้นเมือง :  จันผา จันทน์ผา จันทร์ผา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dracaena cochinchinchin (Lour.)S.C.Chen
ชื่อวงศ์ : AGAVACEAE
ชื่ออื่น : ลักกะจันทน์ จันแดง จันทร์แดง
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ขนาดเล็กสูง 3-7 เมตร ไม่ผลัดใบ รูปทรงไม่แน่นอน ลำต้นตั้งตรง สีน้ำตาลอมเทา แตกเป็นร่องตามยาว โตช้า
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกบริเวณยอดเป็นกระจุก ใบเรียวยาว ปลายแหลม ขอบใบเรียบ
ดอก เป็นดอกช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีขาว เป็นช่อพวงโต
ผล เป็นผลพวงคล้ายผลหมากเล็กๆ
การขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำ
การกระจายพันธุ์ :  ชอบขึ้นบริเวณแสงแดดจัด ทนแล้ง ลมแรง และทนเค็ม ไม่ชอบน้ำขังแฉะ
ประโยชน์  :  นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ประโยชน์ด้านสมุนไพร แก่นมีรสขมเย็น ใช้แก้ไออันเกิดจากซางและดี บำรุงหัวใจ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้บาดแผล และใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาอุทัย ใช้ทำยาหอม ช่วยบำรุงหัวใจ ดับพิษไข้



เหลืองปรีดียาธร



ชื่อไทย :    เหลืองปรีดียาธร
ชื่อท้องถิ่น :        ตาเบเหลือง
ชื่อสามัญ :         Paraguayan Silver Trumpet Tree / Silver Trumpet Tree / Tree of Gold
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Roseodendron donnell-smithii(Rose)Miranda
ชื่อวงศ์ : BIGNONIACEAE
ลักษณะวิสัย :      ไม้ยืนต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :           
ลำต้น : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 8 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่ เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องขรุขระ แตกกิ่งก้านเป็นชั้น
ใบ : ประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5-7 ใบ รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม.
ดอก : ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเหลือง เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลือง เชื่อมติดกันเป็นหลอด รูปแตร    
ผล : ผลเป็นผลแห้งแตก สีเทา เมล็ดแบน มีปีก จำนวนมาก





กระถินเทพา



ชื่อพื้นเมือง : หนามขาว (ภาคเหนือ), กระถินเทพา, กระถินซาบาห์ (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acacia mangium Willd.
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-20 ม. ขนาดทรงพุ่ม 6-8 ม. ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มกลมแผ่กว้าง ค่อนข้างแน่น ลำต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ตามแนวยาวและเปลือกที่กั้นสลับร่องลึกแตกเป็นกาบหนา มีรูปร่างไม่แน่นอน
ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ พบเฉพาะเมื่อเป็นต้นอ่อน เมื่อโตขึ้นจะเหลือเพียงก้านใบเปลี่ยนรูปแผ่ขยายคล้ายใบ มีลักษณะและทำหน้าที่คล้ายใบ เรียงเวียนสลับ รูปใบหอก กว้าง 3-6 ซม. ยาว 8-20 ซม. ปลายเรียวมนโคนใบสอบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเกลี้ยง หนาและเหนียว สีเขียวหม่น ลายเส้นเป็นแนวยาว มองเห็นชัดเจนทั้งสองด้าน
ดอก สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบช่อหางกระรอก ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งยาว 10-15 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็ก จำนวนมาก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกโคนกลีบเชื่อมติดกันปลายแยก เป็น 5 แฉก ปลายกลีบโค้งกลับลง เมื่อบานเต็มที่เกสรเพศผู้สีขาว จำนวนมาก
ผล ผลแห้งแตกสองตะเข็บ เป็นฝักหนาและบิดม้วนเป็นวงไม่เป็น ระเบียบ กว้าง 0.5-0.8 ซม. ยาว 2-3 ซม. สีเขียวอ่อน เมื่อสุกสีน้ำตาล เมล็ดกลมแบนสีน้ำตาลดำเป็นมัน 5-12 เมล็ดต่อฝักขยายพันธุ์โดย การเพาะเมล็ด ออกดอกและติดผลตลอดปี แต่ออกดอกมากเดือน มิ.ย.-ก.ค.
นิเวศวิทยา พบปลูกเลี้ยงอยู่ทั่วไปในที่ความสูงไม่เกิน 100 ม. จากระดับน้ำทะเล
การใช้ประโยชน์ เนื้อไม่ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างและทำถ่าน เพื่อใช้เป็น เชื้อเพลิงในการหุงต้ม





ต้นสั่งทำ



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Diospyros buxifolia (Blume) Hiern
ชื่อวงศ์ :  EBENACEAE
ชื่ออื่นๆ : รีบู, รีเภาต้นสั่งทำ
ต้นสั่งทำ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทยพบมีการกระจายพันธุ์อยู่ตามป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งของภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 50-500 เมตร
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ลำต้น มีเปลือกลำต้นสีเทาดำ เรียบ ส่วนต้นที่มีอายุหลายปีลำต้นจะแตกเป็นร่องเล็กตามยาว บริเวณกิ่งอ่อนจะปกคลุมไปด้วยขนอ่อนนุ่ม มีขนาดความสูงของลำต้นประมาณ 25 เมตร
ใบ ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันตามกิ่งก้าน ใบมีลักษณะเป็นรูปทรงรี รูปไข่ หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน แผ่นใบเรียบเป็นสีเขียวเข้ม โคนใบสอบมน ปลายใบมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ บริเวณเส้นกลางใบจะมีขนอ่อนปกคลุม ก้านใบสั้น มีขนาดความกว้างของใบประมาณ 0.5-2 ซม. ยาวประมาณ 1.2-4 ซม.
ดอก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าดอกเพศเมีย และออกเป็นช่อขนาดเล็กที่ประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 2-3 ดอก ส่วนดอกเพศเมียจะออกตามซอกใบเป็นดอกเดี่ยวๆ มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง 4 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันคล้ายรูปถ้วย
ผล มีลักษณะเป็นทรงกลมรี คล้ายกระสวย ที่ขั้วผลจะมีกลีบเลี้ยงติดอยู่อย่างหนาแน่น ผิวผลเรียบเกลี้ยง ผลที่โตเต็มที่มีความกว้างประมาณ 0.4-1 ซม. ยาวประมาณ 1-1.5 ซม. ภายในผลมีเมล็ดอยู่ประมาณ    1-4 เมล็ด
ประโยชน์
ปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณสวน ส่วนเนื้อไม้มีความแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้าง หรือทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ได้



เหรียง




ชื่อสามัญ : Nitta tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  : Parkia timoriana (DC.) Merr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Parkia javanica auct., Parkia roxburghii G.Don) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE หรือ MIMOSACEAE)
สมุนไพรเหรียง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ  : กะเหรี่ยง เรียง สะเหรี่ยง สะตือ (ภาคใต้), นะกิง นะริง (ภาคใต้-มาเลย์), เรียง เหรียง เมล็ดเหรียงเป็นต้น
                    เหรียง เป็นพันธุ์ไม้ที่มีเขตการกระจายพันธุ์ในหมู่เกาะติมอร์และในแถบเอเชียเขตร้อน ซึ่งไล่ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศปาปัวนิวกินี ส่วนในประเทศไทยนั้นจะพบขึ้นได้ทั่วไปทางภาคใต้ ไล่ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป โดยมักขึ้นตามป่าดิบชื้น ในระดับพื้นที่ต่ำไปจนถึงพื้นที่สูงถึง 100 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่อาจมีบ้างที่เจริญเติบโตในระดับความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะของต้นเหรียง :
ต้นเหรียง จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีลำต้นเป็นเปลาตรง มีความสูงได้ถึง 50 เมตร มีพูพอนสูงถึง 6 เมตร ลักษณะโดยทั่วไปจะคล้ายคลึงกับสะตอ แต่จะแตกต่างกันตรงที่พุ่มใบของต้นเหรียงมักจะเป็นพุ่มกลม ไม่แผ่กว้างมากนัก และมีพุ่มใบแน่นเป็นสีเขียวทึบกว่าพุ่มใบของสะตอ เปลือกต้นเรียบ ที่กิ่งก้านมีขนปกคลุมขึ้นอยู่ประปราย และเป็นต้นไม้ที่ชอบแสงสว่างและพื้นที่ค่อนข้างชุ่มชื้น มักจะเริ่มผลัดใบในช่วงที่ออกช่อดอก และใบจะหลุดร่วงจนหมดต้นเมื่อผลเริ่มแก่พร้อม ๆ ไปกับใบอ่อนที่จะเริ่มผลิออกมาใหม่ ส่วนวิธีการปลูกต้นเหรียงจะนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดเป็นหลัก นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่น ๆ ได้อีก เช่น การตัดกิ่งปักชำและการติดตา แต่ไม่เป็นที่นิยม
ใบเหรียง มีก้านใบยาวประมาณ 4-12 เซนติเมตร มีต่อมเป็นรูปมนยาว 3.5-5 มิลลิเมตร อยู่เหนือโคน ส่วนก้านแกนช่อใบจะยาวประมาณ 25-40 เซนติเมตร มีช่อใบแขนงด้านข้างประมาณ 18-33 คู่ ใต้รอยต่อของก้านช่อใบแขนงด้านข้างมักมีต่อมเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนช่อแขนงยาวประมาณ 7-12 เซนติเมตร ในแต่ละช่อมีใบย่อยประมาณ 40-70 คู่ โดยใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแคบ มีความกว้างประมาณ 5-7 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 1.5-1.8 มิลลิเมตร ส่วนปลายใบแหลมโค้งไปทางด้านหน้า ฐานใบมักยื่นเป็นติ่งเล็กน้อย เส้นแขนงของใบด้านข้างไม่ปรากฏชัดเจน
ดอกเหรียง ออกดอกเป็นช่อกลม มีขนาดของดอกกว้างประมาณ 2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกย่อยมีก้านดอกสั้น ๆ และมีใบประดับยาวประมาณ 4-10 มิลลิเมตรรองรับกลีบรอง กลีบดอกของดอกสมบูรณ์เพศเชื่อมติดกันเป็นหลอด โดยจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
ผลเหรียง หรือ ฝักเหรียง ผลเป็นฝักกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 22-28 เซนติเมตร ตัวฝักตรงไม่บิดเวียนเหมือนกับสะตอบางพันธุ์ และเมล็ดก็ไม่นูนอย่างชัดเจน ฝักเมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะแข็งและมีสีดำ ในแต่ละฝักจะมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปไข่ มีขนาดประมาณ 11 x 20 เซนติเมตร หนึ่งฝักมีเมล็ดประมาณ 20 เมล็ด โดยจะออกผลหรือฝักในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และฝักจะแก่ในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
เมล็ดเหรียง เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน
ลูกเหรียง หรือ หน่อเหรียง มีลักษณะคล้ายกับถั่วงอกหัวโตแต่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าและมีสีเขียว มีรสมันและกลิ่นฉุน เกิดมาจากการนำเมล็ดเหรียงของฝักแก่ไปเพาะในกระบะทรายเพื่อให้เมล็ดงอกรากและมีใบเลี้ยงโผล่ขึ้นมาเหมือนกับถั่วงอก จึงจะสามารถนำมารับประทานได้ (เมล็ดเหรียงนั้นมีเปลือกแข็งจึงไม่สามารถรับประทานได้โดยตรง)
สรรพคุณของเหรียง
1. เมล็ดเหรียงมีรสมัน ช่วยบำรุงร่างกาย (เมล็ด)
2. ช่วยทำให้เจริญอาหารได้ดี (เมล็ด)
3. ลูกเหรียงมีวิตามินเอ วิตามินซี และแคลเซียม จึงช่วยบำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง
4. เปลือกและเมล็ดมีคุณค่าทางสมุนไพรที่ดีกว่าสะตอ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เมล็ดเพื่อเป็นยาแก้อาการ                จุกเสียดแน่นท้อง (เมล็ด)
5. ช่วยขับลมในลำไส้ (เมล็ด)
6. เปลือกต้นใช้เป็นยาสมานแผล ช่วยลดน้ำเหลือง (เปลือกต้น)
ประโยชน์ของต้นเหรียง
1. ลูกเหรียง หรือหน่อเหรียง หรือเมล็ดเหรียง เกิดจากการเพาะเมล็ดที่เริ่มงอก สามารถนำมารับประทานเป็นผักสดได้เช่นเดียวกับสะตอ แต่เหรียงจะมีรสที่ขมกว่า โดยใช้รับประทานสดแกล้มกับน้ำพริกหรือแกงใต้ หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น การทำแกง แกงหมูลูกเหรียง ผัด หรือจะนำไปทำเป็นผักดองก็ได้
2. ต้นเหรียงมีลำต้นเป็นเปลาตรง มีเนื้อไม้สีขาวนวล ไม่มีแก่น เสี้ยนตรงสม่ำเสมอ มีความอ่อนและเปราะ สามารถเลื่อยผ่าได้ง่าย สามารถนำมาใช้ทำเป็นส่วนประกอบที่มีน้ำหนักเบาหรือเป็นโครงร่างของการผลิตต่าง ๆ เช่น การทำรองเท้าไม้ หีบใส่ของ ไม้หนาประกบพวกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เครื่องใช้สอยอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แพ และเรือที่ขุดจากต้นไม้
3. เหรียงจัดเป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง จึงมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงดินได้ดี ส่วนของใบเหรียงนั้นมีขนาดเล็กจึงเหมาะแก่การนำมาใช้ปลูกควบคู่ไปกับพืชชนิดอื่น ๆ เช่น การปลูกกาแฟ ก็จะช่วยทำให้ผลผลิตของกาแฟสูงขึ้นติดต่อกัน
4. เนื่องจากต้นเหรียงสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ในสภาพที่ไม่เหมาะสม จึงนิยมนำต้นเหรียงมาใช้เป็นต้นตอเพื่อใช้ในการติดตาพันธุ์สะตอ







วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สะตอ



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia speciosa Hassk.
ชื่อวงศ์ :  FABACEAE
ชื่อสามัญ :
Bitter bean
Twisted cluster bean
Stink bean
• ชื่อท้องถิ่น :
– สะตอ (ภาคกลาง และภาคใต้)
– ปะตา, ปัตเต๊าะ (จังหวัดชายแดนภาคใต้)
– ปาไต (สตูล)
– ตอ (ระนอง)
ถิ่นกำเนิด : ภาคใต้ของไทย พม่าตอนล่าง มาเลเชีย และอินโดนีเชีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น สะตอเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีลำต้นสูงได้มากถึง 30 เมตร โคนต้นเป็นพูพอน รูปทรงลำต้นเพราตรง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล ผิวเปลือกแตกสะเก็ดขนาดเล็กหรือเป็นร่องตื้นๆขนาดเล็ก ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างน้อยจึงแลดูเป็นทรงพุ่มโปร่ง กิ่งแตกมากบริเวณเรือนยอด
ใบ ใบสะตอเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น คือ มีก้านใบหลักยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ที่ประกอบด้วยก้านใบย่อย 14-24 คู่ แต่ละก้านใบย่อยยาวประมาณ 2.2-6 เซนติเมตร มีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน 30-38 คู่ ใบย่อยมีลักษณะเป็นขอบขนาน สีเขียวสดถึงเขียวเข้มตามอายุใบ แผ่นใบเรียบ ปลายใบมน มีติ่งเล็กตรงกลางของปลายใบ
ดอก ดอกสะตอออกดอกเป็นช่อ ยาว 30-50 เซนติเมตร ขนาดช่อ 0.5-1 เซนติเมตร ส่วนดอกจะยาว 5-7 เซนติเมตร ขนาดดอก 2-4 เซนติเมตร ดอกประกอบด้วยกลีบดอกที่มีลักษณะเป็นหลอดเรียงติดกันในแนวตั้ง โคนดอกเป็นเกสรตัวผู้ ส่วนถัดมาเป็นเกสรชนิดสมบูรณ์เพศ ดอกจะเริ่มออกประมาณเดือนเมษายน และอีกประมาณ 70 วัน ก็สามารถเก็บฝักได้ และจะให้ฝักต่อเนื่องจนถึงอายุ 15-20 ปี
ผล และเมล็ด ผลสะตอมักเรียกว่า ฝัก ที่มีลักษณะแบน มีทั้งชนิดที่เป็นฝักบิดเป็นเกลียว และชนิดที่แบนตรง ฝักยาวประมาณ 25-45 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร เปลือกฝักอ่อนมีสีเขียว และค่อยเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่ ตรงกลางฝักเป็นที่อยู่ของเมล็ดที่เรียงซ้อนกันเป็นตุ่มนูน เมล็ดมีลักษณะคล้ายหัวแม่มือ หรือรูปรีค่อนข้างกลม ขนาดเมล็ดทั่วไป กว้างประมาณ 2.2-2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร เมล็ดอ่อนมีสีเขียว ให้รสหวานมัน และมีกลิ่นฉุน และเมื่อแก่จะเริ่มเหลือง และดำในที่สุด ทั้งนี้ สะตอจะให้ฝักมากในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
พันธุ์สะตอที่นิยมรับประทานมี 2 พันธุ์ คือ สะตอข้าว และสะตอดาน แต่แบ่งได้ 3 พันธุ์ คือ
1. สะตอข้าว (Figure 1A) สะตอข้าวมีลักษณะเด่น คือ ฝักบิดเป็นเกลียว อาจเป็นฝักสั้นหรือยาว ความยาวฝักประมาณ 30-35 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร แต่ละช่อมีฝักประมาณ 5-20 ฝัก แต่ละฝักมีจำนวนเมล็ด 10-20 เมล็ด/ฝัก เนื้อ เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนมาก เนื้อกรอบ ไม่แข็ง ให้รสหวานมัน หลังจากปลูก 3-5 ปี จึงเริ่มติดฝัก
2. สะตอดาน (Figure 1B) สะตอดานมีลักษณะเด่น คือ ฝักจะค่อนข้างแบน และตรง ไม่บิดเป็นเกลียวเหมือนสะตอข้าว ฝักยาวประมาณ 30-35 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3.8-4.2 เซนติเมตร แต่ละช่อมีฝักประมาณ 5-15 ฝัก จำนวนเมล็ดต่อฝัก 10-20 เมล็ด เนื้อเมล็ดมีกลิ่นค่อนข้างฉุน และฉุนมากกว่าสะตอข้าว รวมถึงเนื้อเมล็ดมีรสเผ็ด เนื้อค่อนข้างแน่นแน่นมากกว่าสะตอข้าว หลังปลูกแล้ว 5-7 ปี จึงเริ่มติดฝัก
3. สะตอแตหรือสะตอป่า สะตอแตหรือสะตอป่า เป็นสะตอที่พบได้ในป่าลึก ไม่ค่อยพบตามสวนหรือตามบ้านเรือน เพราะไม่นิยมปลูก แต่เชื่อว่าเป็นพันธุ์สะตอดั้งเดิมของสะตอข้าว และสะตอดาน ฝักมีลักษณะ เล็ก และสั้น เนื้อเมล็ดค่อนข้างแข็ง เนื้อให้รสไม่อร่อย