วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ศรีสยาม



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Arenga hookeriana (Becc.) Whitm.
ชื่อวงศ์ : ARECACEAE
ชื่อพ้อง : Didymosperma caudata
ประเภท : ปาล์มแตกกอ
ความสูง : สูงได้ถึง 2 เมตร
ลำต้น : เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เซนติเมตร กอแน่นทึบ
ใบ : มีจำนวนมาก ใบรูปขนนก แต่ไม่แตกเป็นใบย่อย ทางใบยาว 80 เซนติเมตร ปลายใบหยัก
เว้าตื้นคล้ายครีบปลา สีเขียวเข้มเป็นมัน ใต้ใบมีนวลสีขาวเด่นชัด
ช่อดอก : ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ออกระหว่างกาบใบ
ผล : กลม ขนาด 0.8 เซนติเมตร เมื่อสุกสีแดง
ดิน : ดินร่วนอุดมสมบูรณ์
น้ำ : ปานกลาง ความชื้นในอากาศสูง
แสงแดด : รำไร
ขยายพันธุ์ : แยกหน่อหรือเพาะเมล็ด ใช้เวลา 2 – 4 เดือนจึงงอก
การใช้งานและอื่นๆ : เหมาะทั้งปลูกลงแปลงและปลูกลงกระถางได้ตลอดช่วงอายุ ใบและทรงพุ่มมีความสวยงาม จึงเหมาะใช้เป็นไม้สร้างจุดเด่นในสวนป่าเมืองร้อน




หมากเหลือง




ชื่อวงศ์ : ARECACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dypsis lastellina(Baill.) Beentje J.Dransf
ชื่อสามัญ :
Yellow palm
Yellow cane palm
Golden cane palm
Butterfly palm
Madagascar palm
ลักษณะโดยทั่วไป :   หมากเหลืองเป็นปาล์มที่มีหน่อเป็นกอขึ้นรวมกัน กอหนึ่งจะมีประมาณ 6 - 12 ต้น สูงประมาณ 25 - 30 ฟุตลำต้นมีข้อปล้องโค้งออกจากโคนกอ แลดูสวยงามยิ่ง ใบเป็นใบรูปขนนก ทางใบยาว 6 - 8 ฟุต กาบใบจะ ห่อหุ้มลำต้นไว้ หมากเหลืองเป็นปาล์มที่ได้รับความนิยม นำมาตกแต่ง ประดับประดาตามสถานที่เป็นอย่าง มาก เพราะความสวยงามและมีรูปร่างที่ไม่เล็กและก็ไม่ใหญ่จนเกินไป
ประโยชน์หมากเหลือง :
1. หมากเหลืองนิยมปลูกทั้งในแปลงจัดสวน การด้านภูมิทัศน์ และการปลูกในกระถางเพื่อเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีทรงพุ่มสวยงาม ทางใบยาว โค้งย้อยลงดิน แผ่นใบมีสีเหลืองอมเขียวสวยงาม ทั้งนี้ การปลูกในกระถาง ควรวางกระถางในพื้นที่ร่มหรือมีแสงแดดไม่ส่องทั้งวันหรือมีแสงรำไร อาทิ การวางกระถางภายในบ้าน หน้าบ้านที่มีร่ม หรือวางไว้ข้างบ้านที่มีร่มในบางครั้ง เพราะการปลูกในกระถางจะสูญเสียความชื้นได้ง่ายกว่าการปลูกลงแปลง
2. ใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้มงคล โดยมีความเชื่อต่างๆ ได้แก่
– หมากเหลืองช่วยให้ผู้คนเกิดความเคารพ และเชื่อฟังในตน เหมือนก้านใบหมากเหลืองที่โค้งโน้มลง รวมถึงทำให้สมาชิกในบ้านเป็นผู้มีจิตใจดี จิตใจงดงาม มีความถ่อมเนื้อถ่อมตน
– หมากเหลืองมีก้าน และใบสีเหลืองอมเขียวหรือบางต้นมีสีเหลืองทอง ช่วยส่งเสริมให้เกิดความร่ำรวย มีโชคลาภให้แก้ผู้ปลูกหรือสมาชิกภายในบ้าน
3. หมากเหลืองนอกจากจะปลูกเพื่อการประดับแล้ว เกษตรกรบางรายยังปลูกเพื่อตัดก้านใบส่งขาย สร้างรายได้งามเช่นกัน ก้านใบที่จำหน่ายถูกใช้สำหรับจัดตกแต่งในพิธีต่างๆ อาทิ งานมงคล งานเทศกาลชุมชน และงานสำคัญของทางราชการ
4. ก้านหมากเหลืองใช้ถูหรือจิ้มบริเวณฝ่าเท้าเพื่อตรวจหาอาการชาจากภาวะโรคเบาหวาน ลดความเสี่ยงการเกิดแผลจากโรคเบาหวาน มีวิธีการใช้ คือ นำก้านหมากเหลืองมาผ่าเปลือกนอกออก ให้เหลือเฉพาะแก่นอ่อนด้านใน จากนั้น เหลาให้ส่วนปลายเรียวเล็ก และปลายสุดเหลาให้มน ก่อนใช้จิ้มบนฝ่าเท้าตรวจหาอาการชา 





หมากแดง



ชื่อวิทยาศาสตร์: Cyrtostachys renda Blume
ชื่อสามัญ: Sealing wax palm, lipstick palm, Raja palm, Maharajah Palm
วงศ์: ARECACEAE 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
      ไม้พุ่ม ขนาดกลางถึงใหญ่  ปาล์มแตกกอ ลำต้นตั้งตรงขนาด 10-15 ซม. มีคอยาว 30-50 ซม.  มีข้อปล้องเห็นได้ชัด
     ใบ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ใบย่อยรูปแถบ มีประมาณ 25 คู่ สีเขียวเป็นมัน ทางใบยาว 1.5-2.0 ม. ปลายใบแหลม มีสีแดงเข้มที่กาบใบ ก้านใบและเส้นกลางใบ
     ดอก ดอกช่อออกที่ใต้โคนกาบใบห้อยโค้งลง ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน
     ผล ผลกลมถึงรี ขนาด 0.8 ซม. ผลสุกสีดำ โคนผลสีแดง ติดผลจำนวนมาก ผลละ 1 เมล็ด
ประโยชน์:         ใบมีสรรพคุณแก้ร้อนใน




จันผา


ชื่อพื้นเมือง :  จันผา จันทน์ผา จันทร์ผา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dracaena cochinchinchin (Lour.)S.C.Chen
ชื่อวงศ์ : AGAVACEAE
ชื่ออื่น : ลักกะจันทน์ จันแดง จันทร์แดง
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ขนาดเล็กสูง 3-7 เมตร ไม่ผลัดใบ รูปทรงไม่แน่นอน ลำต้นตั้งตรง สีน้ำตาลอมเทา แตกเป็นร่องตามยาว โตช้า
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกบริเวณยอดเป็นกระจุก ใบเรียวยาว ปลายแหลม ขอบใบเรียบ
ดอก เป็นดอกช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีขาว เป็นช่อพวงโต
ผล เป็นผลพวงคล้ายผลหมากเล็กๆ
การขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำ
การกระจายพันธุ์ :  ชอบขึ้นบริเวณแสงแดดจัด ทนแล้ง ลมแรง และทนเค็ม ไม่ชอบน้ำขังแฉะ
ประโยชน์  :  นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ประโยชน์ด้านสมุนไพร แก่นมีรสขมเย็น ใช้แก้ไออันเกิดจากซางและดี บำรุงหัวใจ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้บาดแผล และใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาอุทัย ใช้ทำยาหอม ช่วยบำรุงหัวใจ ดับพิษไข้



เหลืองปรีดียาธร



ชื่อไทย :    เหลืองปรีดียาธร
ชื่อท้องถิ่น :        ตาเบเหลือง
ชื่อสามัญ :         Paraguayan Silver Trumpet Tree / Silver Trumpet Tree / Tree of Gold
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Roseodendron donnell-smithii(Rose)Miranda
ชื่อวงศ์ : BIGNONIACEAE
ลักษณะวิสัย :      ไม้ยืนต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :           
ลำต้น : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 8 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่ เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องขรุขระ แตกกิ่งก้านเป็นชั้น
ใบ : ประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5-7 ใบ รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 ซม.
ดอก : ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเหลือง เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลือง เชื่อมติดกันเป็นหลอด รูปแตร    
ผล : ผลเป็นผลแห้งแตก สีเทา เมล็ดแบน มีปีก จำนวนมาก





กระถินเทพา



ชื่อพื้นเมือง : หนามขาว (ภาคเหนือ), กระถินเทพา, กระถินซาบาห์ (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acacia mangium Willd.
ชื่อวงศ์ : FABACEAE
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-20 ม. ขนาดทรงพุ่ม 6-8 ม. ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มกลมแผ่กว้าง ค่อนข้างแน่น ลำต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ตามแนวยาวและเปลือกที่กั้นสลับร่องลึกแตกเป็นกาบหนา มีรูปร่างไม่แน่นอน
ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ พบเฉพาะเมื่อเป็นต้นอ่อน เมื่อโตขึ้นจะเหลือเพียงก้านใบเปลี่ยนรูปแผ่ขยายคล้ายใบ มีลักษณะและทำหน้าที่คล้ายใบ เรียงเวียนสลับ รูปใบหอก กว้าง 3-6 ซม. ยาว 8-20 ซม. ปลายเรียวมนโคนใบสอบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเกลี้ยง หนาและเหนียว สีเขียวหม่น ลายเส้นเป็นแนวยาว มองเห็นชัดเจนทั้งสองด้าน
ดอก สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบช่อหางกระรอก ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งยาว 10-15 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็ก จำนวนมาก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกโคนกลีบเชื่อมติดกันปลายแยก เป็น 5 แฉก ปลายกลีบโค้งกลับลง เมื่อบานเต็มที่เกสรเพศผู้สีขาว จำนวนมาก
ผล ผลแห้งแตกสองตะเข็บ เป็นฝักหนาและบิดม้วนเป็นวงไม่เป็น ระเบียบ กว้าง 0.5-0.8 ซม. ยาว 2-3 ซม. สีเขียวอ่อน เมื่อสุกสีน้ำตาล เมล็ดกลมแบนสีน้ำตาลดำเป็นมัน 5-12 เมล็ดต่อฝักขยายพันธุ์โดย การเพาะเมล็ด ออกดอกและติดผลตลอดปี แต่ออกดอกมากเดือน มิ.ย.-ก.ค.
นิเวศวิทยา พบปลูกเลี้ยงอยู่ทั่วไปในที่ความสูงไม่เกิน 100 ม. จากระดับน้ำทะเล
การใช้ประโยชน์ เนื้อไม่ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างและทำถ่าน เพื่อใช้เป็น เชื้อเพลิงในการหุงต้ม





ต้นสั่งทำ



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Diospyros buxifolia (Blume) Hiern
ชื่อวงศ์ :  EBENACEAE
ชื่ออื่นๆ : รีบู, รีเภาต้นสั่งทำ
ต้นสั่งทำ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทยพบมีการกระจายพันธุ์อยู่ตามป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งของภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 50-500 เมตร
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ลำต้น มีเปลือกลำต้นสีเทาดำ เรียบ ส่วนต้นที่มีอายุหลายปีลำต้นจะแตกเป็นร่องเล็กตามยาว บริเวณกิ่งอ่อนจะปกคลุมไปด้วยขนอ่อนนุ่ม มีขนาดความสูงของลำต้นประมาณ 25 เมตร
ใบ ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันตามกิ่งก้าน ใบมีลักษณะเป็นรูปทรงรี รูปไข่ หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน แผ่นใบเรียบเป็นสีเขียวเข้ม โคนใบสอบมน ปลายใบมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ บริเวณเส้นกลางใบจะมีขนอ่อนปกคลุม ก้านใบสั้น มีขนาดความกว้างของใบประมาณ 0.5-2 ซม. ยาวประมาณ 1.2-4 ซม.
ดอก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าดอกเพศเมีย และออกเป็นช่อขนาดเล็กที่ประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 2-3 ดอก ส่วนดอกเพศเมียจะออกตามซอกใบเป็นดอกเดี่ยวๆ มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง 4 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันคล้ายรูปถ้วย
ผล มีลักษณะเป็นทรงกลมรี คล้ายกระสวย ที่ขั้วผลจะมีกลีบเลี้ยงติดอยู่อย่างหนาแน่น ผิวผลเรียบเกลี้ยง ผลที่โตเต็มที่มีความกว้างประมาณ 0.4-1 ซม. ยาวประมาณ 1-1.5 ซม. ภายในผลมีเมล็ดอยู่ประมาณ    1-4 เมล็ด
ประโยชน์
ปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณสวน ส่วนเนื้อไม้มีความแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้าง หรือทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ได้